|
|
ผิว
|
- ผิวเป็นอวัยวะที่มีเนื้อที่มากที่สุดในร่างกาย ซึ่งหากวัดแล้วจะมากถึง 20 ตารางฟุตทีเดียว ผิวบริเวณส่วนใบหน้าและลำคอเป็นส่วนที่บอบบางที่สุด เนื่่องจากผิวเป็นอวัยวะส่วนหนึ่งของร่างกาย ผิวจึงเป็นส่วนที่มีชีวิต ซึ่งหากเราต้องการให้ผิวสุขภาพดี เราก็ต้องดูแลและบำรุงรักษาเช่นเดียวกับ อวัยวะส่วนอื่นๆ ของร่างกาย
|
|
Sponsored Links
|
ความสมดุลทางเคมีของผิว |
- โดยปกติผิวที่มีสุขภาพดีจะอยู่ในระดับสมดุลทางเคมีของค่า pH ที่เป็นกรดเล็กน้อย
|
- pH เป็นหน่วยวัดความเป็นกรดและด่างของสารละลายหรือของเหลว ระดับ pH เท่ากับ 7 ถือว่าอยู่ในสภาวะเป็นกลาง สูงกว่า 7 ถือเป็นด่าง และต่ำกว่า 7 ถือว่าเป็นกรด
|
โครงสร้างของผิว |
 |
|
A. ผิวของเรามี 3 ชั้น คือ ชั้นใต้หนังแท้ ชั้นหนังแท้ และชั้นหนังกำพร้า ซึ่งนับรวมความลึกได้ 1/20 นิ้ว ผิวแต่ละชั้นต่างก็มีความสำคัญต่อการรักษาสุขภาะของผิวด้วยกันทั้งสิ้น
|
B. ผิวชั้นใต้หนังแท้ เป็นผิวชั้นเนื้อเยื่อไขมันซึ่งรองรับผิวชั้นบน
|
C. ผิวชั้นหนังแท้ เป็นผิวชั้นกลางซึ่งประกอบด้วยคอลาเจนโปรตีนชั้นยอดของร่างกาย ที่ให้ความยืดหยุ่นและคงทนแก่ผิว หนังแท้ยังประกอบด้วยเส้นเลือด เส้นประสาทรูขุมขน ต่อมเหงื่อ และต่อมไขมัน
|
D.ผิวชั้นหนังกำพร้า คือส่วนบนสุดของผิว มีความหนาเพียง 1/250 นิ้ว และเป็นส่วนสำคัญในกระบวนการผลัดเปลี่ยนเซลล์ผิว
|
|
|
---|
|
การเจริญเติบโตของผิว
|
---|
เซลล์ของผิวหนังชั้นบนจะมีการผลัดเปลี่ยนให้เซลล์ใหม่ขึ้นมาแทนที่อยู่ตลอดเวลา กระบวนการทั้งหมดนี้ใช้เวลาประมาณ 2-3 สัปดาห์ สำหรับผิวใหม่ และใช้เวลาเป็น 2 เท่า สำหรับผิวที่มีอายุ ยิ่งใช้เวลาในการผลัดเปลี่ยนเซลล์ผิวมากเท่าไหร่ ผิวมีการสูญเสียความชุ่มชื้นมากเท่านั้น
|
 |
A.เซลล์ใหม่ของผิวจะก่อตัที่ฐานของหนังกำพร้าก่อนแล้วจะค่อยๆ ดันตัวขึ้นมาเรื่อยๆ โดยจะสูญเสียความชุ่มชื้นและความราบเรียบไปตลอดทางที่ดันตัวขึ้นไป
|
B.เซลล์ชั้นบนที่ราบเรียบเหล่านี้จะหนาประมาณ 20 ชั้นเซลล์ และเรียงตัวเป็นชั้นๆ ผิวชั้นบนที่บางราวแผ่นกระดาษนี้มีความสำคัญมาก เพราะเป็นตัวช่วยปกป้องการสูญเสียความชุ่มชื้นของผิว ปกป้องผิวจากสภาวะแวดล้อม และปกป้องเซลล์และอวัยวะภายในของร่างกายด้วย ไขมันและเหงื่อจะกระจัดกระจายอยู่บนพื้นผิวส่วนนี้ และช่วยเสริมสร้างเกราะป้องกันพิเศษให้แก่ผิว ผิวชั้นนี้เป็นชั้นที่เราดูแลและบำรุงให้ชุ่มชื้นอยู่เสมอ
|
|
---|
|
---|
รูขุมขนคืออะไร
|
---|
รูขุมขนคือประตูทางออกของผิวส่วนบน เป็นที่ซึ่งผมหรือขนเจริญงอกงาม และเป็นที่ซึ่งน้ำมันจากต่อมไขมันใช้เป็นทางผ่านไปสู่ผิวชั้นบนได้ ขนาดรูขุมขนจะได้สัดส่วนกับต่อมไขมันที่อยู่ข้างใต้ผิว
|
|
---|
|
---|
ขนาดของรูขุมขนสามารถทำให้เล็กลงได้หรือไม่
|
---|
ไม่มีวิธีใดที่จะทำให้ขนาดของรูขุมขนเล็กลง ขนาดของรูขุมขนที่ใหญ่แสดงให้เห็นถึงขนาดของต่อมไขมันไต้ผิวด้วย
|
- อย่างไรก็ดี ยังอาจเป็นไปได้ที่จะทำให้รูขุมขนดูเล็กลง โดยวิธีการถนอมและบำรุงผิว ซึ่งหมายความว่า วิธีดังกล่าวจะช่วยขจัดน้ำมันออกไปจากผิวชั้นบนด้วย เมื่อเซลล์ของผิวชั้นบนปราศจากน้ำมันส่วนเกินแล้ว รูขุมขนก็จะดูเล็กลงด้วย
|
|
---|
|
---|
อะไรทำให้รูขุมขนเล็กลง
|
---|
- ภายในรูขุมขนจะประกอบไปด้วยชั้นของเซลล์ซึ่งมีคุณสมบัติเหมือนกับหนังกำพร้าคือ มีการผลัดเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลา ในรูขุมขนปกติ เซลล์จะเจริญเติบโตผ่านผิวชั้นบนแล้วจะหลุดลอกออกไป
- อย่างไรก็ตาม บางคนอาจมีรูขุมขนที่อุดตันได้ง่าย เนื่องจากเซลล์ที่ตายแล้วเหล่านี้จะไปจับตัวกันอยู่ในรูขุมขนก่อให้เกิดการสะสมของน้ำมันส่วนเกิน และเมื่อก่อตัวรวมกันมากๆ เข้าก็จะเกิดการอุดตันของรูขุมขน
- บริเวณใบหน้าที่มีแนวโน้มจะเกิดการอุดตันด้งกล่าวคือ ส่วนที่มีความมันมากๆ ได้แก่ จมูก หน้าผาก และคาง ซึ่งช่วงบริเวณดังกล่าว เซลล์ที่ตายแล้วจะไปผสมกับฝุ่นละอองและน้ำมัน อันเป็นตัวการก่อให้เกิดการอุดตันอย่างสมบูรณ์ของรูขุมขน ผลิตภัณฑ์ชุดถนอนผิวที่มีประสิทธิภาพจะช่วยลดน้ำมันส่วนเกินบนใบหน้าได้
|
|
---|
ปัจจัยที่มีผลกระทบต่อผิว |
---|
- ปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้
- ปัจจัยที่ควบคุมได้
|
|
---|
|
ปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้
|
---|
วัยที่ร่างรวยตามธรรมชาติ | |
---|
- วัยเด็ก ผิวนุ่มนวลและปราศจากริ้วรอย
- วัยรุ่น ระดับฮอร์โมนในร่างกายมีการเปลี่ยนแปลงต่อมไขมันทำงานมากขึ้น และแนวโน้มตามพันธุกรรมจะทำให้ผิวอ่อนแอได้มากขึ้น
- วัยผู้ใหญ่ ต่อมไขมันทำงานน้อยลง ทำให้ผิวเริ่มแ้ห้งและเกิดริ้วรอย ผิวจะขาดความยืดหยุ่นอันก่อให้เกิดรอยย่น
- วัยหลังหมดประจำเดือน มีการเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนในร่างกาย การผลัดเปลี่ยนของเซลล์ผิวน้อยลง และการผลิตสารโปรตีนคอลลาเจนจะลดลง อันเป็นสาเหตุให้ผิวแห้งและเปราะบาง ผิวจะหย่่อนยาน และเกิดริ้วรอยเหี่ยวย่นมากขึ้น
|
แสงแดด | |
---|
- ปัจจัยทางธรรมชาติที่น่าจะมีผลต่อการทำลายผิวได้มากที่สุดคือ แสงแดด จริงอยู่ที่ว่าแสงแดดช่วยกระตุ้นการสร้างวิตามินดีแก่ร่างกาย ทำให้ร่างกายอบอุ่น และแลดูมีสุขภาพดี แต่การได้รับแสงอุลตร้าไวโอเลทยูวีเอ (UVA) และยูวีบี (UVB) จากแสงแดดอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานานๆ จะทำให้ผิวแห้ง เสื่อมสภาพ และเกิดริ้วรอยย่น
|
ความชื้น | |
---|
- ความชื้นต่ำจะทำให้ผิวสูญเสียความชุ่มชื้น ส่วนความชื้นสูง จะทำให้ต่อมเหงื่อทำงานมากกว่าปกติ เป็นสาเหตุใ้ห้ผิวมัน แ้ม้ว่าผิวจะมันมากขึ้นในขณะที่อากาศร้อนและชื้น แต่ผิวก็ยังต้องการความชุ่มชื้นเพื่อป้องกันความแห้งกร้านอันเกิดจากแสงแดด การรักษาผิวให้สะอา่ดโดยการล้างหน้าบ่อยๆ จึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง
|
อุณหภูมิที่รุนแรง | |
---|
- อากาศเย็นเมื่อรวมกับความชื้นต่ำจะลดความชุ่มชื้นของผิวลง อันเป็นสาเหตุให้ผิวตึงและแห้งในขณะที่อากาศร้อยกับความชื้นต่ำจดูดความชุ่มชื้นออกจากผิว ทำให้ผิวมีสภาพคล้ายกับถูกอบแห้ง
|
ลม | |
---|
- ลมแรงจัดโดยเฉพาะอย่างยิ่งในขณะที่อุณหภูมรุนแรงและความชื้นต่ำเป็นสาเหตุให้ผิวแห้งแตกและเป็นขุย เช่นเดียวกับฝุ่นละอองและสิ่งสกปรกที่มากับสายลม เมื่อมาต้องผิวหน้าก็จะติดผิวทำให้เกิดความอุดตันของรูขุมขนได้ด้วย
|
มลภาวะ | |
---|
- หมอกควันและมลภาวะทางอากาศอื่นๆ ที่มาต้องผิวจะทำให้รูขุมขนอุดตันได้
|
|
---|
|
---|
ปัจจัยที่ควบคุมได้
|
---|
การนอนหลับพักผ่อน
| |
---|
- การนอนหลับพักผ่อนเป็นวิธีีพื้นฐานในการดูแลรักษาผิวที่ง่ายที่สุด ในระหว่างที่นอนหลับผิวจะปรับตัวโดยการสร้างเซลล์ใหม่ขึ้นมา การนอนหลับอย่างเพียงพอจึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับสุขภาพผิว ในคืนหนึ่งๆ ควรนอนหลับให้ได้ประมาณ 7-8 ชั่วโมง
|
น้ำ
| |
---|
- น้ำเป็นของเหลวสำหรับร่างกายช่วยให้เกิดการขับถ่ายสิ่งสกปรกออกจากระบบการไหลเวียนของโลหิต และเร่งการเจริญเติบโดของเซลล์
|
โภชนาการ
| |
---|
- อาหารให้สารอาหารที่ร่างกายต้องการในการทำงาน ผิวที่มีสุขภาพดีเกี่ยวพันโดยตรงกับอาหารที่ดี ดังนั้นการรับประทานอาหารที่สมดุลและมีประโยชน์จึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด
|
การออกกำลังกาย
| |
---|
- การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอจะช่วยกระตุ้นระบบการไหลเวียนของโลหิต เร่งให้โลหิตมาหล่อเลี้ยงผิว ให้ดูสิชื่นและมีชีวิตชีวา นอกจากนี้การออกกำลังกายยังช่วยผ่อนคลายผิวที่เกิดจากความเครียดได้อีกด้วย
|
ความเครียด
| |
---|
- ความเครียดมีผลกระทบอย่างรุนแรงต่อผิว บางครั้งยังเป็นสาเหตุของการเกิดสิว ผื่นแดง ลมพิษ ผิวซีดเซียว หมองคล้ำ และรอบคล้ำใต้ดวงตา อากัปกิริยาของความเครียดที่แสดงออกจนติดเป็นนิสัย ยังเป็นตัวการทำให้เกิดริ้วรอยถาวรบนใบหน้าได้ด้วย ดังนั้น เพื่อหลีกเลี่ยงริ้วรอยดังกล่าว จึงควรฝึกการผ่ิอนคลายกล้ามเนื้อบนใบหน้า และลดการทำหน้านิ่วคิ้วขมวดหรือย่นคิ้วเวลาที่เกิดความเครียด
|
สารพิษ
| |
---|
- สารพิษเป็นปัจจัยที่มีผลต่อผิวที่ควบคุมได้ง่ายที่สุด
- การสูบบุหรี่ทำำให้เส้นเลือดฝอยบนใบหน้าอุดตันและเป็นตัวการที่ทำให้ปริมาณของเลือด ออกซิเจน และสารอาหารที่ไปหล่อเลี้ยงบริเวณผิวชั้นบนลดลง การสูบบุหรี่ยังทำให้เกิดรอยย่นที่ผิวบริเวณรอบดวงดาและริมฝีปากได้อีกด้วย
- เครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์และคาเฟอีน จะเป็นตัวขับปัสสาวะ ซึ่งจะขับความชื้นออกไปจากร่างกาย
- การใช้ยาบางครั้งก็อาจก่อให้เกิดผลด้านตรงข้ามกับผิวได้ และยังทำให้ผิวเปราะบางยิ่งขึ้น
|
|
|
---|
|
---|
การวิเคราะห์ประเภพผิว
|
---|
ผิวธรรมดา
| |
---|
- เมื่อเราพูดว่า ผิวธรรมดา เรามิได้หมายถึงผิวทั่วไป แท้จริงแล้วผิวธรรมดาเป็นผิวที่หายากและมักจะเป้นผิวผสมระหว่างลักษณะผิวแห้งและผิวมัน ผิวธรรมดามีลักษณะดังนี้
- มีลักษณะผิวและสีผิวสม่ำเสมอ
- ผิวสดใส อ่อนนุ่ม และเนียนเรียบ
- ไม่มีจุดที่เป็นมันหรือแห้งผาก
- มีความสมดุลระหว่างการขับน้ำมันและความชุ่มชื้น
- มีริ้วรอยน้อยมากหรือไม่มีเลย
- มีรูขุมขนขนาดเล็ก
- มีรอยย่นน้อยมากหรือไม่มีเลย
|
ผิวธรรมดาถึงผิวแห้ง
| |
---|
- ส่วน ที-โซน
- ผิวมีลักษณะตึง บอบบาง ไม่สดใส
- หน้าผากแห้งเป็นขุยและมีรอยย่น
- รูขุมขนเล็ก
- มีริ้วรอยเล็กน้อย
- แก้มและรอบดวงตา
- แห้งเป็นขุย
- มีรอยย่นรอบดวงตาและริมฝีปาก
|
ผิวธรรมดาถึงผิวมัน
| |
---|
- ส่วน ที-โซน
- มีแนวโน้มว่าจะมีความมันจากน้ำมันในระหว่างวัน
- มีรูขุมขนใหญ่ โดยเฉพาะบริเวณจมูกและคาง
- มีริ้วรอยบ้างเล็กน้อย
- แก้มและรอบดวงตา
- ผิวมีลักษณะอ่อนนุ่มและยืดหยุ่น
- มีรอยย่นเล็กน้อยบริเวณรอบดวงตาและริมฝีปาก
|
ผิวบอบบาง
| |
---|
- ผิวบอบบางคือผิวที่เกิดอาการแพ้หรือระคายเคืองได้ง่ายมีลักษณะโดยทั่วไปคือ
- ผิวปวดแสบปวดร้อน ระคายเคือง แดงช้ำ หรือมีตุ่มแผลได้ง่าย
- มีปฎิกิริยากับสิ่งที่ก่อให้เกิดความระคายเคืองตามธรรมชาติ เช่น แสงแดด ลม และมลพิษ
- มีปฎิกิริยากับสิ่งที่มาสัมผัสผิว รวมทั้งเครื่องสำอาง สบู่ แอลกอฮอล์ ผ้า และสารเคมี เช่น การป้องกันแสงแดด
- อาจเป็นผิวธรรมดาถึงผิวแห้ง หรือผิวธรรมดาถึงผิวมัน และยังคงแพ้ง่ายด้วย
|
|
---|
|
---|
อาหารที่ทำให้สดใสดูอ่อนกว่าวัย |
---|
1. บลูเบอร์รี่ : จากผลการวิจัยพบว่า แอนโทไซยานิน (anthocyanin) สารเม็ด
สีในบลูเบอร์รี่ ช่วยในการมองเห็น ขอแนะนำ ให้คุณลอง ปั่นบลูเบอร์รี่รวมกับนมหรือโยเกิร์ตดู 2. พริกหยวก : ทั้งพริกแดง พริกเขียว และพริกเหลืองต่างมีสารแอนตี้ออกซิ
แดนท์ ที่ช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันร่างกาย น้ำฉ่ำๆ จากพริกหยวกยังจะช่วยให้สุขภาพ
เล็บแข็งแรง ลองนำพริกไปทำซัลซ่า โดยผสมเข้ากับมะเขือเทศ กระเทียม พริก
แดง แตงกว่า น้ำมันมะกอก และน้ำมะนาวดูสิ นอกจากจะได้ประโยชน์มหาศาล
จากเหล่าสุดยอดอาหารแล้ว ยังได้อร่อยกับเมนูเด็ด จากฝีมือของคุณเองอีก 3. กะหล่ำปลี : เห็นเขียวๆ ม่วงๆ อย่างนี้รู้มั้ยว่ากะหล่ำปลีนั้นอุดมไปด้วยวิตามิน
เอ,ซีและเบตาแคโรทีนที่จะช่วยในเรื่องของ ผิวพรรณ เพียงหั่นกะหล่ำปลีบางๆ
แล้วนำลงไปผัดกับขิงและกระเทียม เพียงเท่านี้ก็ได้อาหารมื้อค่ำสำหรับตัวคุณเองแล้ว 4. วอลนัท : ทองแดงในวอลนัทช่วยคงสภาพสีผมของคุณไม่ให้เปลี่ยนสีก่อนวัย
อันควร ลองโรยวอลนัทลงบนสลัด หรือโยเกิร์ตก็ไม่เลวนะ 5. แอปริคอท : สารเบตาแคโรทีนในแอปริคอทช่วยชะลอการเสื่อมถอยของ
เลนส์ตา ช่วยในการมองเห็นได้ดี ใส่แอปริคอทลงไป ในสัตว์ไก่ ผสมกับขิงและ
อบเชยให้ได้กลิ่นอายแบบโมร็อคโค 6. อะโวคาโด : การรับประทานอะโวคาโดช่วยทำให้ผิวเรียบเนียน และปกป้อง
ผิวจากอันตรายที่เกิดจากแสงแดด เนื่องจาก อะโวคาโดอุดมไปด้วยวิตามินอี บด
อะโวคาโดโรยหน้าโอ๊ตเค้กเป็นของทานเล่นดูก็ได้ 7. สตรอเบอร์รี่ : วิตามินซีและ สารบางอย่างในสตรอเบอร์รี่ช่วยเพิ่มความแข็ง
แรงของผนังเส้นเลือดผลไม้สีแดงสด ทรงเสน่ห์แบบนี้ เพียงแช่เย็นไว้จิ้มกินกับ
เกลือตอนนั่งดูทีวีก็เพลินดีไม่น้อย 8. เต้าหู้ : หยุดยั้งผิวที่ซีดและแห้งโดยการรับประทานอาหารอย่าง เต้าหู้ เพราะ
ในเต้าหู้มีสารที่จะช่วยคืนสภาพผิวและ ป้องกันรอยเหี่ยวย่น ลองผัดรวมกับผัก
กรอบๆ หรือทำเป็นต้มจืดเอาไว้ทานเป็นมื้อเย็นนอกจากจะช่วยคืนสภาพผิวแล้ว
ยังช่วยควบคุมน้ำหนักได้เป็นอย่างดี 9. ข้าวโอ๊ต : เต็มไปด้วยเส้นใยที่ช่วยรักษาระดับน้ำตาลในเลือด ทั้งยังช่วยลด
อาการตึงเครียด จึงทำให้รอยเหี่ยวย่นน้อยลง เพียง โรยข้าวโอ๊ตลงบนมูสลี่ หรือ
นมอุ่นๆ ใส่น้ำตาลลงไปเล็กน้อยแค่นี้ก็ทานได้แล้ว กระชุ่มกระชวยเหมือนแรก
สาว Stay feeling young 10. กระเทียม : สมุนไพรกลิ่นแรงอย่างกระเทียมมีคุณสมบัติป้องกันแบคทีเรีย
ล้างพิษ และป้องกันไวรัสจากโรคภัยไข้เจ็บ ตั้งแต่ไข้หวัดไปจนถึงมะเร็ง อาหาร
ไทยส่วนใหญ่มีกระเทียมเป็นส่วนประกอบอยู่แล้ว 11. แครนเบอร์รี่ : ผลไม้มหัศจรรย์ช่วยต้านการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ
จากงานวิจัยล่าสุดพบว่ายังช่วยป้องกันโรคเหงือก และแผลในช่องท้องได้ชะงัด
อีกด้วย อาจจะทำเป็นแยมไว้รับประทานกับขนมปังหรือทำเป็นซอสแครนเบอร์รี่
ไว้ทาไก่หรือเนื้อย่าง ก็มีประโยชน์ไม่แพ้กัน 12. ลินสีด : ช่วยลดอาการเจ็บตามข้อต่อ เพราะอุดมไปด้วยโอเมก้า 3 ที่ร่าง
กายใช้ในการสร้างฮอร์โมนที่มีคุณสมบัติป้องกัน อาการอักเสบ ลองเติมลงในน้ำ
ปั่นหรือโรยหน้าสลัดดูก็ได้นะ 13. กีวี : วิตามินซีและสารอาหารบางอย่างในกีวีช่วยในการไหลเวียน
ของออกซิเจน ลดปัญหาเกี่ยวกับระบบหายใจ เช่น โรคหืด หอบ หั่นกีวีเป็นลูก
เต๋าเสียบไม้กับมะม่วงหรือกล้วย ทาด้วยน้ำผึ้ง แล้วนำไปย่าง อาจจะได้รสชาติ
แปลกใหม่ที่น่าลิ้มลอง 14. ลูกพลัม : อุดมไปด้วยสารอาหารที่ช่วยป้องกันการถูกทำลายของไขมันซึ่ง
เป็นส่วนประกอบสำคัญในเซลล์สมอง นำลูกพลัม ไปเคี่ยวกับน้ำส้ม และโรยลงไป
บนมูสลี่ หรือจะกินเล่น เป็นขนมขบเคี้ยวก็ไม่มีใครว่า 15. กล้วย : เป็นแหล่งรวมของโพแทสเซียม นอกจากกล้วยจะช่วยในเรื่องของ ระบบการย่อยอาหารแล้วยังช่วยลดอาการท้องผูก แค่ผสมเข้ากับนม น้ำผึ้ง และ
อัลมอนด์ ก็จะได้อาหารเช้าที่แสนอร่อย 16. ส้ม : การรับประทานส้มทั้งผลแทนการดื่มน้ำส้มจะช่วยให้ได้รับสารอาหาร
อย่างเต็มที่ มิหนำซ้ำวิตามินซีในส้มยังช่วยป้องกัน และเยียวยาโรคหวัด นอกจาก
นี้กากของส้มยังช่วยในเรื่องของการขับถ่ายด้วย 17. ข้าวกล้อง : ฮอตฮิต อินเทรนด์กันอยู่พักใหญ่ เพราะอุดมไปด้วยแร่แมงกานีส
ที่จะช่วยให้พลังงานกับร่างกายโดยการ ให้โปรตีนและคาร์โบไฮเดรต และยังช่วย
เพิ่มภูมิคุ้มกันของร่างกายอีกด้วย ใครที่ไม่ชอบสีจัดจ้านของข้าวกล้องก็สามารถ
หุงข้าวกล้องรวมกับข้าวสวยได้ 18. มะเขือม่วง : เปลือกของมะเขือม่วงอุดมไปด้วยนาซูนิน (nasunin) ซึ่งมี
คุณสมบัติช่วยปกป้องสมองของคุณจากการถูกทำลาย เพื่อคงความฉลาดหลัก
แหลมของคุณไว้ ลองนำมะเขือม่วงไปทำแกง หรือรับประทานกับข้าวกล้องก็
อร่อยไม่เบา แข็งแรงได้ใจ Stay healthy! จากการศึกษาพบว่า อะไรก็ตามที่คุณรับประทานเข้าไป มีโอกาสที่จะทำให้โรค
ภัยไข้เจ็บต่างๆ ดีขึ้นได้ เช่น โรคมะเร็ง หรือโรคหัวใจ เพื่อให้อัตราการเสี่ยงของ
คุณลดน้อยลง ลองอาหารพวกนี้ดูสิ 19. ลูกพรุน : โพแทสเซียมในลูกพรุนช่วยลดคอเรสเตอรอลในเลือดและลดระดับ
ความดันเลือด ซึ่งทั้งสองอย่างนี้เป็นต้นเหตุของ การเกิดโรคหัวใจ เสิร์ฟคู่กับ
โยเกิร์ตหรือกินเล่นเป็นของว่างก็ดี 20. คะน้า : ช่วยให้ตับของคุณผลิตเอ็นไซม์ในการต่อต้านมะเร็ง เมื่อคุณเคี้ยว
คะน้า จากการวิจัยพบว่าสามารถหยุดยั้ง การเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งเต้านม
ได้ ฮืม...ม เลือกผัดคะน้าปลาเค็ม เป็นเมนูมื้อกลางวันดีกว่า (อ้อ อย่าลืม
ทุบกระเทียมลงไปด้วยนะ) 21. ผักโขม : คุณจะได้รับแคลเซียมจากผักโขม ในขณะเดียวกันก็มีแมกนีเซียม
ที่จะช่วยให้ร่างกายของคุณดูดซึมแคลเซียมได้ดี การรับประทานใบอ่อนของผัก
โขมในสลัด จะช่วยให้ป้องกันโรคกระดูกเปราะและหักง่ายเนื่องจากขาด
แคลเซียม 22. ราสเบอร์รี่ : จากผลการวิจัยพบว่าสารแอนตี้ออกซิเดนท์ในราสเบอร์รี่
สามารถยับยั้งการเกิดเนื้อร้ายได้ ลองนำราสเบอร์รี่ไปราด ด้วยช็อกโกแลตเหลว
แล้วไปแช่เย็นดูสิ 23. ถั่วงอก : สารประกอบ ที่พบในถั่วงอก สามารถช่วยลดระดับไขมันในเส้น
เลือด นอกจากนี้ถั่วงอกยังประกอบด้วยสารอาหาร ในปริมาณสูง ซึ่งจะช่วยเรื่อง
โรคเล็กๆ น้อยๆ ของสตรีในวัยหมดประจำเดือนถั่วงอกผัดกับเต้าหู้ ทานกับข้าว
สวยร้อนๆ ก็อร่อยไม่เบา 24. บล็อคโคลี่ : การรับประทานบล็อคโคลี่เป็นประจำ จะช่วยลดอัตราเสี่ยงการ
เกิดโรคหัวใจได้ถึง20% และยังมีวิตามินซี ที่ช่วยป้องกันการปวดกล้ามเนื้อ ปวด
ตามข้อ และโรคไขข้ออักเสบได้ด้วย ลวกใส่ในสลัด หรือผัดกับกุ้งสดก็ไม่เลว 25. บีทรูท : เนื้อของบีทรูทอุดมไปด้วยเบต้าไซยานิน ซึ่งเป็นสารต่อต้านมะเร็ง
รับประทานโดยการนำไปตุ๋นหรือย่าง 26. องุ่นแดง : จะช่วยลดอัตราเสี่ยงของการเกิดเลือดจับตัวเป็นก้อน และดักจับ
ไขมันในเลือดที่จะเป็นอันตรายต่อเส้นเลือดแดง ของคุณ ใส่องุ่นแดงลงในสลัด
หรือดื่มไวน์แดงสักแก้วระหว่างมื้อค่ำ 27. ปลาที่มีไขมัน : แซลมอน หรือเนื้อปลาชนิดอื่นๆ ที่มีไขมันปนอยู่บ้างนั้น
สามารถช่วยปกป้องคุณจากโรคภัยไข้เจ็บมากมาย อีกทั้งโปรตีนในเนื้อปลายัง
ช่วยในเรื่องของสมอง ว่ากันว่าให้เด็กๆ กินปลาแล้วจะฉลาด ปลานึ่ง ปลาย่าง
ราดซอสอร่อยๆ ล้วนเป็นทางเลือกที่ดี 28. มะเขือเทศ : สารไลโคพีนี (lycopene) ในมะเขือเทศจะช่วยป้องกันการเกิด
มะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งเต้านม มะเร็งปอด และมะเร็งลำไส้ใหญ่ ที่สำคัญช่วย
ให้ผิวสวยอย่าบอกใครเลยเชียวล่ะเลือกเอาเลยว่าคุณอยากจะใส่มะเขือเทศลงใน
อาหารอะไรบ้าง 29. หัวหอม : หัวหอมที่มีกลิ่นไม่หอมเหมือนชื่อนี้จะช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด
ทั้งยังช่วยในการรักษาและป้องกันโรคเบาหวาน ซอยเป็นสี่เหลี่ยมลูกเต๋าเล็กๆ
ใส่ในไข่เจียว หรือซอยใส่อาหารประเภทยำช่วยเพิ่มรสชาติได้ดีทีเดียว
|
---|
|
---|
|
---|
วิธีรักษาผิวหน้า
|
---|
สูตรพอกหน้าด้วยมะเขือเทศ จากประเทศญี่ปุ่น
วิธีทำ เริ่มด้วยการฝานมะเขือเทศ 1 ชิ้นหนาๆ ถูให้ทั่วใบหน้าและลำคอเบาๆ ตรงบริเวณที่มีสิวเสี้ยน มะเขือเทศมีวิตามินซี และกรด AHA จะช่วยลอกผิวหน้าที่ตายแล้วให้หลุดออกได้ หลังจากนั้นจึงค่อยใช้สำลีชุบน้ำเย็น เช็ดมะเขือเทศออกให้สะอาด
สูตรพอกหน้าด้วยไข่ขาว จากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ วิธีทำ ตอกไข่ไก่ 1 ฟอง แยกไข่แดงออกเทเฉพาะไข่ขาวลงในถ้วย ใช้ส้อมตีไข่ขาวจนเป็นฟองพอสมควร แล้วใช้แปรงขนนุ่ม จุ่มไข่ขาวทาให้ทั่วใบหน้าและลำคอ ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที จนไข่ขาวเริ่มจับตัวแข็ง แล้วล้างออกด้วยน้ำเย็น
สูตรพอกหน้าด้วยน้ำผึ้ง จากประเทศสเปน วิธีทำ เริ่มจากล้างหน้าให้สะอาด แล้วเช็ดให้แห้ง จากนั้นใช้ปลายนิ้วแตะน้ำผึ้งลูบไล้บนใบหน้าและลำคอเบาๆ สักครู่ แล้วนวดหน้าด้วยปลายนิ้วอย่างแผ่วเบาประมาณ 5 นาที จนน้ำผึ้งเหนียว นวดต่อไปไม่ได้แล้ว ก็ปล่อยทิ้งไว้ประมาณ 10-15 นาที ระหว่างนั้นให้นอนพักศีรษะอยู่ต่ำกว่าระดับปลายเท้า เพื่อให้เลือดไหลมาหล่อเลี้ยงที่ใบหน้าและลำคอได้สะดวกยิ่งขึ้น เมื่อครบเวลาแล้วก็ค่อยๆ ใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นเช็ดน้ำผึ้งออกให้สะอาด
สูตรพอกหน้าด้วยแอปเปิล จากประเทศเบลเยียม วิธีทำ ปอกแอปเปิลแล้วคว้านเอาไส้และเมล็ดออก จากนั้นบดให้ละเอียด ขณะที่บดให้ผสมน้ำผึ้งลงไปด้วย เมื่อบดจนเข้ากันดีแล้ว นำเอาส่วนผสมนี้มาพอกหน้าทิ้งไว้ 20 นาที แล้วใช้นมสดเย็นๆ ล้างออก
สูตรพอกหน้าด้วยนมเปรี้ยว จากประเทศรัสเซีย วิธีทำ สำหรับผู้ที่มีผิวหน้ามัน ล้างหน้าให้สะอาดก่อนจะเอานมเปรี้ยวที่แช่เย็นจัดพอกหน้า ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาทีหรือนานกว่านั้น แล้วใช้ผ้าขนหนูนุ่มๆ เช็ดออก ตำรานี้จะใช้ได้ผลดีมากในหน้าร้อน เพราะจะช่วยให้ใบหน้าที่ซีดเซียวกลับเปล่งปลั่งขึ้นได้
สูตรพอกหน้าด้วยแตงโม จากประเทศตุรกี วิธีทำ จัดการฝานแตงโมเป็นชิ้นบางๆ จากส่วนที่แดงที่สุด นำมาแปะให้ทั่วใบหน้า แล้วใช้ผ้าขาวบางคลุมหน้าไว้ ทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำเย็น สูตรพอกหน้าด้วยน้ำมะนาวและน้ำผึ้ง จากประเทศฝรั่งเศส
วิธีทำ ด้วยการผสมน้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ กับน้ำมะนาว 1 ช้อนชา คนให้เข้ากัน แล้วนำมาทาให้ทั่วทั้งใบหน้าและลำคอ ทิ้งไว้อย่างน้อย 30 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น
|
|
---|