ตับอักเสบ เป็นภาวะที่มีการอักเสบ เกิดการทำลายของเซลล์ตับ ทำให้การทำหน้าที่ต่าง ๆ ของตับผิดปกติ ร่างกายมีการเจ็บป่วย ไม่สบาย พบผู้ป่วยด้วยโรคนี้ได้ในทุกวัย ทั้งชายและหญิง ส่วนใหญ่เป็นโรคตับอักเสบเฉียบพลัน ส่วนน้อยอาจ เป็นโรคตับอักเสบเรื้อรัง อาจมีภาวะแทรกซ้อนของโรคตับแข็ง โรคตับวาย มะเร็งตับ |
 |
ตับอักเสบมีสามเหตุมาจากอะไร |
สาเหตุของโรคตับอักเสบ ที่พบบ่อยที่สุดคือ การติดเชื้อไวรัส รองลงมาเกิดจาก พิษสุรา เชื้อแบคทีเรีย เชื้อโปรโตซัว เลปโตสไปโรสิส พยาธิ ยาบางชนิด สารเคมี |
|
Sponsored Links
|
|
ชนิดของโรคตับอักเสบ |
โดยส่วนมากจะเกิดจากการติดเชื้อไวรัสชนิดต่างๆ ดังนี้คือ ไวรัสตับอักเสบ ชนิดเอ ,ไวรัสตับอักเสบ ชนิดบี ,ไวรัสตับอักเสบ ชนิดไม่ใช่เอ ไม่ใช่บี ,ไวรัสตับอักเสบ ชนิดซี ,ไวรัสตับอักเสบ ชนิดด,ี ไวรัสตับอักเสบ ชนิดอี |
การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ เอ เกิดจาก การกินเชื้อเข้าไปทางปาก เช่น อาหาร ผักสด ผลไม้ น้ำดื่ม ที่ปนเปื้อนเชื้อนี้ ทำไม่สุก ไม่สะอาด ไม่ต้มเดือด เป็นต้น |
ไวรัสตับอักเสบ ชนิดบี ทางเข้าของเชื้อ ได้แก่ ทางเพศสัมพันธ์ กับผู้เป็นพาหะของเชื้อนี้ ทารกคลอดจากมารดาที่เป็นพาหะ อาจติดเชื้อระหว่างคลอด การเลี้ยงดู ทางเลือดและน้ำเหลือง การได้รับเลือดที่ติดเชื้ออาจเกิดจากการใช้ของมีคม/ของใช้ส่วนตัวร่วมกับผู้ติดเชื้อ เช่น การใช้เข็มฉีดยาเสพติดเข้าเส้นร่วมกัน การฝังเข็ม การสัก การเจาะหูที่ไม่สะอาด การใช้ใบมีดโกน แปรงสีฟัน ร่วมกัน เป็นต้น ทางผิวหนังที่เกิดบาดแผล ผิวหนังถลอก ทางสัมผัสใกล้ชิด (Close contact) ระหว่างพาหะกับผู้อื่น เช่น สมาชิกในครอบครัว เด็กวัยเรียน เป็นต้น |
ไวรัสตับอักเสบ ชนิดซี การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบชนิด ซี พบในประชากรทั่วไปประมาณร้อยละ 1 ติดต่อได้โดยทางเลือดและน้ำเหลือง การใช้เข็มฉีดยาร่วมกันในกลุ่มผู้ติดยาเสพติดนอกจากนี้ อาจติดเชื้อได้ทางเพศสัมพันธ์ |
อาการของโรคตับอักเสบ |
อาการของตับอักเสบเฉียบพลันจากไวรัสทุกชนิดเหมือนกัน โดยผู้ป่วยจะมีอาการอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร จุกแน่นบริเวณชายโครงขวาจากการที่ตับโต ปัสสาวะมีสีเข้ม ตาเหลือง เมื่ออาการของโรคเต็มที่จะค่อยๆดีขึ้นเข้าสู่ระยะฟื้นตัวและหายพร้อมกับมีภูมิต้านทานเกิดขึ้น สำหรับไวรัสตับอักเสบ เอ และอี จะหายขาดพร้อมมีภูมิต้านทานเกิดขึ้นแต่สำหรับไวรัสตับอักเสบ บี ร้อยละ 5-10 และไวรัสตับอักเสบ ซี กว่าร้อยละ 80 เป็นเรื้อรัง |
การรักษา |
ผู้ป่วยที่มีอาการตับอักเสบเฉียบพลัน จะค่อยๆทุเลาขึ้นเองเมื่อพักผ่อนและรับประทานอาหารให้เพียงพอ ผู้ป่วยบางรายเข้าใจว่าการดื่มน้ำหวานในปริมาณมากๆ จะช่วยให้อาการดีขึ้นได้ ซึ่งเป็นความเชื่อที่ผิด เพราะน้ำตาลจะไปเปลี่ยนเป็นไขมันสะสมในตับ และอาจทำให้ตับโตจุกแน่นกว่าปกติ ส่วนมากผู้ป่วยที่มีอาการตับอักเสบเรื้อรังจะไม่แสดงอาการ แพทย์จะประเมินว่าสมควรให้การรักษาหรือไม่ ในปัจจุบันสามารถรักษาและควบคุมโรคได้ดี ผู้ป่วยควรงดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ทุกชนิด หลีกเลี่ยงการใช้ยาที่ไม่จำเป็น ออกกำลังกายและหมั่นตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ สิ่งสำคัญที่ควรทราบก็คือ การรับประทานยาคุมกำเนิดจะไม่ส่งผลกระทบต่ออาการของโรค และผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบ บี สามารถตั้งครรภ์ได้ |
ผู้ป่วยที่มีเชื้อไวรัสตับอักเสบซีบางรายเมื่อตรวจเลือดพบค่าการอักเสบของตับ แพทย์จะนัดตรวจเลือดอีกครั้ง 6-12 เดือน แต่เด็กที่เกิดจากแม่ที่มีเชื้อไวรัสตับอักเสบซีไม่ควรเจาะเลือดก่อนอายุ 12 เดือนเนื่องจากเชื้อจากแม่ยังไม่หมด แนะนำให้ตรวจ anti-HCV เมื่อเด็กมีอายุ 18 เดือนขึ้นไป ทั้งนี้การรักษาผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบซี แพทย์จะพิจารณาตามภาวะของโรคและโรคร่วมต่างๆ ที่ผู้ป่วยเป็น ไวรัสตับอักเสบซีชนิดที่ 1 ต้องรักษาเป็นเวลา 1 ปี โอกาสหายประมาณ 50% ระหว่างการรักษา 1 และ 3 เดือน |
สุขภาพจิต |
เลือดออกในสมอง |
โรคเวียนศีรษะ |
โรคอัลไซเมอร์ |
โรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ |
โรคสมองอักเสบ |
อาการปวดปวดประสาท |
โรคสมาธิสั้น |
เด็กออทิสติก |
โรคเครียด |
โรคกระดูกพรุน |
โรคข้อเสื่อม |
โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ |
โรคปีกมดลูกอักเสบ |
หนองในเทียม |
การติดเชื้อหูด |
โรคเริม |
แผลริมอ่อน |
ฝีมะม่วง |
ช่องคลอดอักเสบจากเชื้อรา |
โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ |
ไวรัสตับอักเสบบี |
ไวรัสตับอักเสบซี |
เซลลูไลท์ |
ผื่นแพ้ยา |
มะเร็งผิวหนัง |
โรคลมชัก |
ข้อมูลเกี่ยวกับโรคต่างๆ รวบรวมมาจากเอกสารแผ่นพับจากโรงพยาบาลและศูนย์สุขภาพทั่วไป เพื่อให้รู้ลักษณะของโรคและสาเหตุ และการรักษาเบี้องต้นในการดูแลสุขภาพ เมื่อทราบสาเหตุและอาการป๋วย ว่าเป็นโรคอะไร ควรรีบปรึกษาแพทย์ผู้เชื่ยวชาญตามสถานพยาบาลต่างๆ อย่าปล่อยไว้ให้เนิ่นนาน อาจจะทำการรักษายากขึ้นและใช้เวลานานในการรักษา |
|
|
|