โรครูมาตอยด์ โรครูมาตอยด์เป็นโรคข้ออักเสบเรื้อรังชนิดหนึ่งที่มีลักษณะเด่นคือ มีการเจริญงอกงามของเยื่อบุข้ออย่างมาก เยื่อบุข้อนี้จะลุกลามและทำลายกระดูกและข้อในที่สุด โรคนี้มิได้เป็นแต่เฉพาะข้อเท่านั้น ยังอาจมีอาการทางระบบอื่น ๆ อีก เช่น ตา ประสาท กล้ามเนื้อ |
 |
|
|
Sponsored Links
|
|
สาเหตุของการเป็นโรครูมาตอยด์ |
สาเหตุยังไม่ทราบแน่ชัด แต่เชื่อว่าเป็นโรค Autoimmune หมายถึงมีความผิดปรกติของระบบภูมิคุ้มกันที่ทำลายข้อตัวเอง นอกจากนั้นยังพบว่า กรรมพันธ์ ฮอร์โมน บุหรี่ การติดเชื้อเป็นตัวกระตุ้นทำให้โรคกำเริบ |
|
อาการของโรครูมาตอยด์ |
อาการโรครูมาตอยด์ จะสามารถสังเกตเห็นได้ชัดจากความผิดปกติเกี่ยวกับไขข้อ โดยส่วนใหญ่ในระยะแรกจะมีอาการอ่อนเพลีย ปวดตามข้อ ข้อต่าง ๆ ในร่างกายอาจมีอาการฝืดขัดเนื่องจากเนื้อเยื่อบุข้อหนาตัว ส่วนใหญ่มักจะเป็นในตอนเช้า แต่เมื่ออาการเริ่มชัดเจน บริเวณข้อต่าง ๆ จะมีอาการบวม ร้อน และปวด ซึ่งบางรายก็อาจจะมีอาการแบบเฉียบพลันรุนแรงได้เช่นกัน นอกจากนี้ยังอาจมีไข้ เบื่ออาหาร
มีอาการอักเสบเรื้อรังของข้อต่อในร่างกายหลาย ๆ ข้อพร้อมกัน และมีอาการติดต่อกันเกิน 6 สัปดาห์
บริเวณที่อักเสบส่วนใหญ่จะเป็นข้อมือ ข้อโคนนิ้วมือ ข้อเข่า ข้อเท้า มีอาการปวด บวม และเมื่อกดจะมีอาการเจ็บ
มีอาการข้อฝืด ข้อแข็ง ไม่สามารถขยับตัวได้สะดวก ในเวลาเช้าหลังตื่นนอน และจะต้องใช้เวลาอย่างน้อย 1 ชั่วโมงจึงจะเริ่มขยับข้อต่าง ๆ ได้
มีอาการแทรกซ้อนอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น เบื่ออาหาร กล้ามเนื้ออ่อนแรง ปวดเมื่อยทั้งตัว มีไข้ต่ำ ๆ น้ำหนักลด ต่อมน้ำเหลืองและหลอดเลือดอักเสบ และโลหิตจาง |
|
การรักษาโรครูมาตอยด์ |
โรครูมาตอยด์ มีวิธีการรักษาที่หลากหลาย แต่โดยส่วนใหญ่แล้วจะเป็นการใช้ยาเพื่อควบคุมอาการ หรือการยับยั้งไม่ให้ข้อถูกทำลายมากขึ้น แต่วิธีที่ได้ผลมากที่สุดก็คือ การผ่าตัดนั่นเอง
การใช้ยารักษา
วิธีนี้ใช้เพื่อควบคุมและรักษาโรครูมาตอยด์ซึ่งส่วนใหญ่แล้วได้ผลดี โดยยาที่มักใช้กันเป็นปกติได้แก่ ยาแอสไพรินและยาต้านการอักเสบชนิดที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ ซึ่งผลการตอบสนองของผู้ป่วยแต่ละคนก็จะแตกต่างกันออกไป แต่ยาสองชนิดนี้ก็อาจจะทำให้เกิดผลข้างเคียงกับไตได้ จึงต้องมีการใช้อย่างระมัดระวังและควรอยู่ภายใต้การควบคุมของแพทย์
นอกจากนี้ในรายที่มีอาการรุนแรง แพทย์ก็อาจพิจารณาใช้ยาในกลุ่มยาระดับที่ 2 ได้แก่ ยาต้านมาลาเรีย ยาทอง ยาเมทโธเทรกเซท ยาซัลฟาซาลาซีน ซึ่งยาเหล่านี้ไม่ใช่ยาระงับปวด แต่เป็นยาที่ยับยั้งการลุกลามของโรครูมาตอยด์ได้ ทว่าก็มีผลข้างเคียงที่รุนแรงกว่าระดับแรก ดังนั้นต้องให้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางเป็นผู้อนุญาตให้ใช้เท่านั้น และไม่ควรใช้ติดต่อกันนานเกินไป เพราะอาจจะทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่อันตราย เช่น โรคอ้วน โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ต้อกระจก กล้ามเนื้ออ่อนแรง และกระดูกผุ ซึ่งจะยิ่งส่งผลร้ายต่อสุขภาพ
การพักผ่อนและบริหารร่างกาย
การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอและการพักผ่อนอย่างเพียงพอเป็นสิ่งที่สำคัญต่อผู้ป่วยโรครูมาตอยด์ เพราะการพักผ่อนจะช่วยให้ผู้ป่วยรู้สึกดีขึ้น ลดอาการอ่อนเพลีย แต่ก็ไม่ควรพักผ่อนหรืออยู่นิ่ง ๆ นานจนเกินไป เพราะอาจจะทำให้ข้อต่าง ๆ ตามร่างกายเกิดการฝืดขัดได้ จึงต้องมีการพักผ่อนและการออกกำลังกายที่สมดุลกัน และควรจะออกกำลังกายเท่าที่ตนเองสามารถทำได้ ไม่ควรออกกำลังกายหนักเกินไปเพราะอาจจะยิ่งกระตุ้นอาการปวดได้ |
สุขภาพจิต |
เลือดออกในสมอง |
โรคเวียนศีรษะ |
โรคอัลไซเมอร์ |
โรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ |
โรคสมองอักเสบ |
อาการปวดปวดประสาท |
โรคสมาธิสั้น |
เด็กออทิสติก |
โรคเครียด |
โรคกระดูกพรุน |
โรคข้อเสื่อม |
โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ |
โรคปีกมดลูกอักเสบ |
หนองในเทียม |
การติดเชื้อหูด |
โรคเริม |
แผลริมอ่อน |
ฝีมะม่วง |
ช่องคลอดอักเสบจากเชื้อรา |
โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ |
ไวรัสตับอักเสบบี |
ไวรัสตับอักเสบซี |
เซลลูไลท์ |
ผื่นแพ้ยา |
มะเร็งผิวหนัง |
โรคลมชัก |
ข้อมูลเกี่ยวกับโรคต่างๆ รวบรวมมาจากเอกสารแผ่นพับจากโรงพยาบาลและศูนย์สุขภาพทั่วไป เพื่อให้รู้ลักษณะของโรคและสาเหตุ และการรักษาเบี้องต้นในการดูแลสุขภาพ เมื่อทราบสาเหตุและอาการป๋วย ว่าเป็นโรคอะไร ควรรีบปรึกษาแพทย์ผู้เชื่ยวชาญตามสถานพยาบาลต่างๆ อย่าปล่อยไว้ให้เนิ่นนาน อาจจะทำการรักษายากขึ้นและใช้เวลานานในการรักษา |
|